หน้าหนาวและลูกน้อยกับโรคร้าย
(แชร์ประสบการณ์)
โรคร้ายที่มากับหน้าหนาว
ความคิดของบางท่านดูเหมือนว่าจะไม่คิดว่ามันจะร้ายแรงได้ (คนมีฐานะดี)
เพราะวิวัฒนาการการรักษาโรคในแต่ละโรงพยาบาลหลายๆ แห่งมีความเชี่ยวชาญไม่แพ้กันเลย
แต่ในกรณีของดิฉัน ไม่ใช่เลยค่ะ โรคร้ายที่ดิฉันเจอและเกิดขึ้นกับลูกน้อยของดิฉัน
ก็คือ โรคเส้นเลือดใหญ่ตีบตัน คงสงสัยกันใช่ไหมคะ
ว่ามันเกี่ยวอะไรกับโรคร้ายที่มากับหน้าหนาว
ดิฉันจะแชร์ประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับดิฉัน จนไม่มีวันลืมได้ลงเลยค่ะ
ดิฉันอาศัยอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย
การเป็นอยู่ฐานะครอบครัว ก็แค่พออยู่พอกิน
ดิฉันได้แต่งงานและตั้งครรภ์เมื่ออายุได้ 20 ปี (ลูกคนแรก) ดิฉันและแฟนเป็นคนที่มีสุขภาพค่อนข้างแข็งแรงไม่ค่อยเป็นไข้หรือเป็นหวัด
นานๆ ครั้งจึงจะเป็นสักครั้ง ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติ
ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดสิ่งร้ายๆ กับชีวิตของเราเลยค่ะ
ดิฉันคลอดลูกสาวคนแรกตอนอายุครรภ์ได้ 8 เดือนครึ่ง
(คุณหมอบอกว่าคลอดครบกำหนด-คลอดแบบธรรมชาติ)
ดิฉันก็เลี้ยงดูลูกน้อยของดิฉันเป็นอย่างดีมาตลอด การเลี้ยงลูกสำหรับคุณแม่มือใหม่
ไม่ง่ายอย่างที่คิดเลยนะคะ ส่วนมากก็จะเป็นการแนะนำของบรรดาญาติๆ บ้านข้างเรือนเคียง
นั่นแหละค่ะ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับดิฉันและลูกน้อย
เริ่มจากพอเข้าหน้าหนาว ตอนนั้นลูกน้อยดิฉันก็มีอายุได้ประมาณ 6 เดือนกว่า
เริ่มมีอาการเป็นไข้หวัด มีน้ำมูก เป็นไข้ตัวร้อน ดิฉันก็พาไปพบคุณหมอ (อนามัย)
ได้รับยาเป็นยาแก้ไขธรรมดา รับประทานยาตามคุณหมอสั่ง เวลาผ่านไป 3-4
วันอาการก็ไม่หาย และยังมีอาการไอเพิ่มมาด้วย ดิฉันก็ไปพบคุณหมอ (อนามัยเช่นเคย)
ก็ได้ยาแก้อักเสบเพิ่มเติม ก็ทานยาแบบนี้จนยาหมด อาการของลูกน้อยก็ยังไม่หาย
ที่แย่กว่านั้นก็คือ ไอเป็นเลือดและอาเจียนด้วย ลูกสาวดิฉันอายุได้ 7 เดือน
(ป่วยนาน) ดิฉันก็พาไปพบคุณหมออีก (คราวนี้ไปพบคุณหมอที่โรงพยาบาลในตัวเมือง)
คุณหมอก็สั่งยาเพิ่มให้ คือ ยาแก้ไข้ ยาแก้ไอ ยาแก้อักเสบ (ยาแรงกว่าเดิม)
ดิฉันก็กลับมาบ้านให้ยากับลูกน้อยตามหมอสั่ง 1-2 วันแรกอาการก็ดีนะคะ
แต่พอเริ่มวันที่ 3 ทานอาหารเข้าไปก็อาเจียนออกทุกครั้ง ทานได้แต่นมแม่
(อาจจะเป็นเพราะนมอุ่น) ทำให้น้ำหนักตัวลดลง พอกลางคืนลูกน้อยของดิฉันก็ไอจนเป็นเลือดอีก
(ไม่ได้หลับเลยค่ะ ทั้งแม่และลูก)
กว่าที่ดิฉันจะสามารถเก็บเงินและพาลูกน้อยเดินทางไปโรงพยาบาลในตัวเมืองได้อีกครั้ง
ลูกสาวดิฉันก็อายุได้ 8 เดือนแล้วละคะ คราวนี้ดิฉันได้พบกับคุณหมออีกคน
คุณหมอท่านนี้ก็ได้วินิจฉัยว่า ต้องอัลตราซาวน์ปอด (เหมือนกับอัลตราซาวน์ท้องนั่นแระค่ะ)
แต่ต้องทำให้น้องหลับก่อนนะคะ เมื่อต้องป้อนยา (ลูกสาวเป็นคนทานยายากมากค่ะ)
ก็มีอาการอาเจียนออกหมดต้องป้อนยาถึง 2 ครั้ง ลูกสาวดิฉันถึงจะหลับ เมื่อคุณหมออัลตราซาวน์ปอดดูก็พบว่า
ลูกสาวดิฉันเป็นโรคเส้นเลือดตีบตัน และเป็นปอดบวมร่วมด้วย
จึงจำเป็นต้องทำการแอดมิด (โชคดีที่ลูกสาวดิฉันมีบัตรสุขภาพสำหรับเด็ก)
วิธีการรักษา คุณหมอรักษาด้วยการให้น้องดมยาเป็นเวลา 10 นาที ทุกๆ 3-4 ชั่วโมง
รักษาอย่างนี้เป็นเดือนเลยละคะ กว่าลูกสาวของดิฉันจะหายจากอาการปอดบวมจนหายดีแล้ว
แต่ยังมีอีกหนึ่งโรคร้ายที่ยังติดตัวมา คุณหมอแนะนำ (ทำหนังสือส่งตัว)
ให้เดินทางไปที่โรงพยาลแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่
ซึ่งจะมีเครื่องมือและแพทย์ที่พร้อมกว่า เมื่อไปถึงคุณหมอก็ให้เข้าแอดมิดเช่นเดิม
คุณหมอใช้เวลาในการดูอาการเป็นเดือน (โรงพยาบาลเป็นบ้านหลังที่2 แล้วละคะ)
คุณหมออธิบายถึงการรักษาว่านอกจากเส้นเลือดตีนตันแล้ว หัวใจห้องล่างซ้ายยังรั่วอีก
(โอ้แม่เจ้าหัวใจดิฉันจะสลาย ฟังคุณหมออธิบายไปและร้องไห้สงสารลูกมากๆค่ะ) ต้องทำการผ่าตัดด้วยการผ่ากระดูกอกออก
(แหวกอก) และทำการใส่สายยางเข้าไปในเส้นเลือดใหญ่ เพื่อให้เลือดไหลเวียนและทำการเย็บหัวใจห้องที่รั่ว
กระตุ้นให้หัวใจทำงานเป็นปกติ แต่จะต้องมาทำการเปลี่ยนสายยางทุก 5 ปี
(ตอนนั้นกำลังคิดว่าลูกสาวดิฉันจะต้องเจ็บตัวอีกกี่ครั้ง
ดิฉันก็รู้สึกเจ็บแทนแล้วละคะ) ตอนนั้นลูกสาวดิฉันอายุได้ 1 ขวบพอดี
คุณหมอจึงตรวจสอบสุขภาพของลูกสาวก่อนทำการผ่าตัด
เห็นว่าสุขภาพยังไม่แข็งแรงจึงให้กลับบ้านไปก่อน เมื่ออายุได้ 1
ขวบครึ่งค่อยรับการผ่าตัด ช่วงระยะที่มาพักฟื้นที่บ้าน สังเกตุได้ว่าหัวใจของลูกสาวดิฉันโตขึ้นเพราะเห็นได้ชัดว่าอกด้านซ้ายจะนูนผิดปกติ
เมื่ออายุครบตามที่คุณหมอกำหนด (เกินไป 1 เดือน) ก็เข้ารับการผ่าตัด (ดิฉันดีใจและโชคดีมากๆ
เป็นพระคุณอย่างสูงที่ลูกสาวดิฉันได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นคนไข้ในพระองค์จากพระเทพรัตนสุดาฯ)
เมื่อทำการรักษาผ่าตัดไปด้วยดี
(เข้าหน้าหนาวอีกแล้ว) หลังรักษาและดูอาการหลังผ่าตัดประมาณ 1 เดือน คุณหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ ลูกสาวดิฉันก็ทานนม อาหารได้เป็นปกติได้เกือบ 1
เดือน ซึ่งขณะนั้นดิฉันเดินทางมาทำงานที่กรุงเทพฯ แต่เมื่อถึงคราว ลูกสาวดิฉันดื่มน้ำและลักน้ำ
(คุณแม่เป็นคนดูแลลูกสาวดิฉัน) คุณแม่บอกดิฉันว่าลูกสาวดิฉันสำลักน้ำ
น้ำจึงเข้าปอดจนกลายเป็นปอดบวดอีกครั้ง มีอาการไอ อาเจียนตลอด ในวันที่ 3
หลังจากสำลักน้ำ เป็นคืนสุดท้ายที่ไอและอาเจียนเป็นเลือดเยอะมาก คุณแม่ต้องเดินทางเข้าเชียงใหม่เป็นการด่วนกลางดึก
(ระยะทางจากเชียงรายถึงเชียงใหม่ก็ไกลโข) ลูกสาวดิฉันเสียชีวิตกลางทาง นี่แหละค่ะโรคร้ายที่คร่าชีวิตเล็กๆ ของลูกน้อย
ของดิฉัน
การป้องกันหรือวิธีการดำเนินชีวิตหลังจากได้รับการผ่าตัด
-
การป้องกันโรคเส้นเลือดตีบตัน
ที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด คุณหมอแนะนำว่าให้ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
เน้นจำพวกผักและผลไม้ ไม่ทานอาหารจำพวกของหวานหรือไขมัน
ทานยาให้ตรงตามที่คุณหมอสั่งยาให้นะคะ(ในกรณีที่เป็นเด็กเล็กคุณหมอจะไม่ให้ทานยาค่ะ
เพราะยาจะมีฤทธิ์แรงไป) และอย่าลืมที่จะออกกำลังเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ
(ห้ามหักโหมนะคะ)
-
หลังจากได้รับการผ่าตัด
ต้องงดออกกำลังกาย จนกว่าคุณหมอจะอนุญาตค่ะ ที่อยู่อาศัยจะต้องมีอากาศโปร่ง
ไม่มีอากาศที่เป็นพิษ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอกับมลภาวะเป็นพิษ
ควรหาผ้าปิดจมูกไว้เสมอค่ะ ร่างกายต้องอบอุ่นอยู่เสมอ
เพราะอาจจะเกิดการติดเชื้อหรือโรคปอดบวมแทรกซ้อนได้ค่ะ
และต้องปฏิบัติตนตามคุณหมอแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่ออายุที่ยาวนานขึ้นค่ะ
** ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี
ดิฉันก็ยังคงจำได้ไม่มีวันลืม หวังว่าประสบการณ์ครั้งนี้คงมีประโยชน์และอุธาหรณ์
ให้แกคุณแม่หลายๆ ท่านได้ไม่มากก็น้อยนะคะ ขอบคุณที่ให้แชร์ประสบการ์ค่ะ (แด่..น้องอามลูกรัก)**
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น