วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2559

สอนลูกน้อยเรียนรู้สี




สอนลูกน้อยเรียนรู้สี
Play & Learn คำที่ฝรั่งใช้ในการสอนเรื่องราวต่างๆให้กับเด็ก คุณพ่อคุณแม่อยากสอนอะไร สอนเลยค่ะ ไม่ต้องรอช้า แต่ต้องสอนแบบมีเทคนิคสักนิด จะมาเปิดหนังสือนั่งสอน เด็กคงไม่สนใจหรอกค่ะ ลองมาอ่านเทคนิคในการสอนสีของฉัน ที่ดึงเอาทุกอย่างรอบตัวมาทำให้เกิดประโยชน์กันนะคะ วิธีนี้ฉันใช้สอนลูกทั้งสองคน ได้ผลน่าพอใจ สามารถบอกชื่อสีต่างๆได้ถูกต้องประมาณ 90% ก่อนเข้าโรงเรียนค่ะ

1.             ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของลูกนอกจากจะบอกว่า สิ่งนั้นคืออะไร ลองบอกสีเพิ่มเข้าไปด้วย เช่น ". เราไปอาบน้ำในกะละมังลายเป็ดสีขาวกันดีกว่า " และถ้ามีของเล่นลอยน้ำ ก็ยิ่งเป็นโอกาสดี เลือกที่มีหลายหลายสีสันนะคะ ค่อยๆหยิบทีละตัวและบอกสีไป เช่น น้องเต่าสีเขียวเดินช้าต้วมเตี้ยม พี่วาฬสีฟ้าพ่นน้ำฟู่ๆ นกน้อยจิ๊บๆสีเหลือง เป็นต้น อาบน้ำทุกวัน เล่นทุกวัน ไม่นานนักก็จำได้ค่ะ ถ้าลูกยังพูดไม่ได้ และคุณแม่อยากรู้ว่าพอจำได้รึยัง ก็ให้ลูกหยิบสีตามที่เราบอกก็ได้ค่ะ หรือช่วงแต่งตัว ใช้วิธีเดียวกันได้เลยค่ะ   แต่งตัวไป บอกไปว่า ใส่เสื้อสีอะไร กางเกงสีอะไร อย่าปล่อยเวลาผ่านไปโดยที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรนะคะ

2.             เวลาอยู่บนถนน เริ่มง่ายๆด้วย สัญญาณไฟจราจร คุยให้เขาฟัง  " เห็นไหมลูกไฟสีแดง รถต้องหยุด เดี๋ยวหนูดูนะ ถ้าไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวเมื่อไร รถจะไปได้ " เด็กๆจะสนใจและตั้งใจมองมาก พอครั้งต่อๆไป เมื่อเขาเห็นสัญญาณไฟ เขาจะจำได้ ลูกสาวฉันตอน 2ขวบ พูดเองเลยว่า " สีแดงต้องหยุด สีเขียวไปได้"


3.             เวลาอ่านหนังสือ เด็กๆแต่ละคนจะมีตัวการ์ตูนที่ตัวเองชอบ ลูกคุณชอบนิทานเรื่องไหน ก็บอกลักษณะเด่นของตัวการ์ตูนนั้น อย่างลูกสาวฉันชอบหมีพูห์ เราก็เล่านิทานไป บอกไปว่า หมีพูห์สีเหลืองใส่เสื้อสีแดง พิกเล็ทหมูน้อยสีชมพู อียอร์ลาเศร้าๆสีเทา เป็นต้น

4.             ถ้าลูกคุณชอบกินช็อคโกแลต M&M เวลาลูกๆอยากกิน เราก็ใช้เป็นโอกาสในการสอนได้ค่ะช่วงแรกๆ ทุกครั้งที่ให้กิน ก็บอกว่าสีอะไร บอกไปเรื่อยๆไม่ต้องเร่งรัด วันไหนอยากทดสอบว่าจำได้รึยัง ก็แค่ลอง เทใส่มือสัก 2-3 เม็ด และถามเขาว่าอยากกินสีอะไร หยิบและบอกแม่ซิ แรกๆ อาจตอบผิดๆถูกๆนะคะ เพราะว่าช็อคโกแลตมันยั่วน้ำลาย ทำให้สมาธิที่จะคิดว่าสีอะไรไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่ถ้าฝึกไปเรื่อยๆจะตอบได้เองค่ะ สนุกดีนะคะ


5.             เวลาวาดรูประบายสี ก็ให้เขาเลือกสีที่เขาชอบเอง และเราก็บอกเขาว่าสีที่เขาเลือกคือสี.....และถามเขาว่าทำไมชอบสีนี้ เด็กๆ จะมีคำตอบที่น่ารักๆบอกเรา

6.             ถ้าคุณมีลูกชาย การ์ตูนฮีโร่ขบวนการ5สี ช่วยคุณได้ แถมได้สองภาษาด้วยนะคะ เพราะเวลาที่แปลงร่าง จะต้องบอกว่าตัวเองชื่ออะไร เช่น เดกะเรด เดกะบลู เดกะกรีน เป็นต้น และอย่าลืมลองถามลูกดูว่า อยากเป็นสีอะไร เพราะอะไรค่ะ ยิ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่นึกสนุก  ร่วมเล่นเป็นสัตว์ประหลาดและให้ลูกแปลงร่างมาปราบ  ลูกๆ จะยิ่งสนุก และยิ่งจำสีต่างๆ ได้แม่นยำค่ะ


7.             การจำสีต่างๆสำหรับเด็กค่อนข้างจำยาก ถ้าเทียบกับสัตว์ที่มีลักษณะต่างๆที่ชัดเจน ดังนั้น หาของใกล้ตัวมาเปรียบให้เด็กเข้าใจมากยิ่งขึ้น เช่น สีแดงเหมือนพริก สีเขียวเหมือนใบไม้ สีเหลืองเหมือนกล้วย สีฟ้าเหมือนท้องฟ้า สีส้มเหมือนผลส้ม สีม่วงเหมือนองุ่น ดำเหมือนอีกา  เป็นต้น คุณพ่อคุณแม่ต้องมั่นใจว่า สิ่งที่เอามาเปรียบเทียบนั้น เด็กๆรู้จักดี และเมื่อเจอสิ่งนั้น ก็ชี้และบอกให้ดูอย่างสม่ำเสมอนะคะ
8.              
วิธีง่ายๆทั้งหมดนี้ คุณพ่อคุณแม่สามารถเอาไว้สอนลูกได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าเจอสิ่งใดตอนไหน พูดไปทีละนิดทีละหน่อย เหมือนคุยให้ลูกฟัง อย่าไปจริงจังมากมาย คุยไปเล่าไปตั้งแต่แบเบาะ เด็กจะค่อยๆจำสิ่งต่างๆเหล่านั้นไปเรื่อยๆจนถึงวันหนึ่งที่พร้อมก็จะแสดงออกมาให้คุณเห็นเองค่ะ ขอให้มีความสุขในการเป็นคุณครูคนเก่งของลูกนะคะ






วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559

วัคซีนป้องกันความอยากมี อยากได้




วัคซีนป้องกันความอยากมี อยากได้
                ลูกชายของฉันวัย 8 ขวบเคยถามฉันว่า  “ แม่เมื่อไรเราจะไปเที่ยวเมืองนอกเหมือนบ้านพี่ป่านสักที เขาไปทุกปิดเทอมเลยนะ  หนูอยากไปบ้าง ” ฉันก็ตอบลูกว่า  “ เราจะไปก็ไปได้นะลูก แต่เมื่อเรากลับมาพ่อแม่ต้องทำงานอีกเยอะมากๆ  เพราะไปครั้งหนึ่งใช้เงินหลายหมื่นบาท  แม่ว่าเราเก็บเงินตรงนั้นไปจ่ายค่าเทอมดีไหมลูก ไปครั้งหนึ่งจ่ายค่าเทอมหนูกับน้องได้หลายเทอมเลยนะ  แม่ว่าสักวันหนึ่ง  เราคงได้ไปกัน ตอนนี้หนูตั้งใจเรียนให้ดี   เรียนให้เก่งๆ โตขึ้นหนูก็มีงานดีๆ เงินเดือนดีๆ ตอนนั้น เราจะไปเที่ยวกันก็ยังไม่สายไปหรอก ” ลูกชายฉันก็เข้าใจและไม่เคยรบเร้าว่าจะไปอีกเลย 
หลายคนอาจจะมองว่าทำไมเข้าใจอะไรง่ายจัง  ที่ลูกของฉันเข้าใจอะไรได้ง่าย เพราะตั้งแต่เด็กฉันก็เล่าถึงฐานะทางครอบครัวให้ลูกฟังตลอด เล่าให้เขาฟังตามที่เขาจะเข้าใจได้ในแต่ละช่วงวัย  ฉันพาเขาไปทำงานด้วยให้เขาเห็นว่า แม่ต้องทำงานอย่างไรกว่าจะได้เงินมาซื้อขนมให้เขา  บางทีไปเดินซื้อขนมกัน  เขาก็อยากกินขนมช็อคโกแลตญี่ปุ่น กล่องละเป็นร้อย  ฉันก็บอกว่า “ มันแพงเกินไปนะซื้อแท่งเดียว  เท่ากับซื้อข้าวกินกันได้ 4 คนพ่อแม่ลูก เอาอย่าอื่นเถอะ ”  ฉันและสามีจะบอกลูกเสมอว่า “ เราไม่ได้จนนะ  แต่เราก็ไม่ได้รวย  เราแค่พอมีพอกิน  แต่ถ้าเราพยายามประหยัดเก็บออม  อนาคตเราจะมีเงิน   หนูก็จะได้เรียนสูงๆ  และมีการงานดีๆทำ   เราอย่าเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆว่า ทำไมเขามีแต่เราไม่มี ”
ฉันว่าการที่พ่อแม่บอกลูกให้ลูกรู้ว่า ฐานะทางครอบครัวของเราเป็นอย่างไร  มันก็ทำให้ลูกเราเข้าใจอะไรได้ง่าย  เมื่อเวลาที่เขาเห็นคนอื่นมีของใหม่ๆ ดีๆ  ที่เขาอยากได้  ความอยากมีอยากได้ เกิดขึ้นได้กับทุกคน  แต่มันก็สามารถหมดไปได้ด้วยเหตุและผลที่เราบอกเขาไป
ทุกวันนี้ถึงแม้ว่า ฉันจะปลูกวัคซีนป้องกันความอยากมีอยากได้ ให้กับลูกชายและลูกสาวทั้งสองของฉันอยู่เสมอ  แต่ฉันก็ไม่เคยนิ่งนอนใจเรื่องเศรษฐกิจภายในครอบครัว  ฉันก็ยังคงมุ่งมั่นทำงานประจำของฉันให้ดี  และ ก็คิดเสมอว่าจะทำงานอาชีพเสริมอะไรดีที่ฉันพอทำได้ให้มีเงินเพิ่มพูนขึ้นมา  และที่สำคัญ  เงินที่ฉันเก็บออมทุกบาททุกสตางค์ก็อยากให้มันผลิดอกออกผลที่งอกงามที่สุด  ตอนนี้  ฉันเริ่มต้นการฝากเงินแบบประกันชีวิตระยะยาวกับธนาคารของรัฐแห่งหนึ่ง  เพื่อให้เงินของฉันที่ฝากเพื่อลูกทั้งสองผลิดอกออกผลงามที่สุดในอีก 20 ปีข้างหน้า  เมื่อวันที่เขาทั้งสองโตเป็นหนุ่มเป็นสาว  และอยากจะมีเงินก้อนสักก้อนเพื่อลงทุนอะไรกับชีวิตของเขา  และ อีกก้อนเพื่อฉันและสามีในยามแก่ได้ใช้ชีวิตอย่างสบายไม่ลำบอก  ฉันถือคติว่า ตอนมีแรง เหนื่อยไม่ว่า แต่เมื่อแก่ชราขอสุขสบาย





วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559

เที่ยวสนุกแบบสบายกระเป๋า




เที่ยวสนุกแบบสบายกระเป๋า
เวลาฉันอยากพักผ่อนพาลูกไปเที่ยว ฉันไม่เคยกังวลเรื่องเงินเลย เพราะฉันมีที่เที่ยวที่สามารถไปได้บ่อยๆ ไม่แพง อีกทั้ง สนุก สบายใจ และสบายกระเป๋าอีกต่างหาก คุณเองก็สามารถพาลูกไปเที่ยวเหมือนฉันได้ค่ะ
สถานที่แรก คือ สนามเด็กเล่นในสวนสาธารณะ เลือกสวนสาธารณะที่มีบรรยากาศดีๆ ลูกๆจะได้รับอากาศที่บริสุทธิ์ ได้พบเจอพันธุ์ไม้ รวมถึงสัตว์ต่างๆ มากมายที่จะได้ชี้ชวนให้ลูกดู  ไม่ว่าจะเป็น หนอนผีเสื้อ จิ้งเหลน ไส้เดือน กิ้งกือ กิ้งก่า  อย่าไปคิดว่า สัตว์พวกนี้ ไม่มีอะไรน่าดูนะคะ  เราตัดสินเองจากความคิดของเรา  แต่เด็กๆ ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นหรอกค่ะ  ลูกฉัน 8 ขวบ และ 2 ขวบ  ตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เจอ  นั่งมอง  คอยเดินตาม  คอยเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเจ้าสัตว์พวกนี้อย่างสนุกสนาน  พ่อแม่อย่างเราก็ไม่ต้องกลัวอันตราย  เพราะสัตว์เหล่านี้  ไม่มีพิษมีภัยอะไรค่ะ และที่สำคัญ สัตว์พวกนี้ไม่ได้หาดูกันง่ายๆ เหมือนสัตว์ในสวนสัตว์นะคะ  ในชีวิตผู้ใหญ่บางคน  จิ้งเหลนตัวเป็นๆ สักตัวยังไม่เคยเห็น นอกจากนั้น ลูกๆ จะได้มีโอกาสร่วมเล่นสนามเด็กกับเด็กคนอื่นๆ ได้ออกกกำลังกาย ได้รู้จกการรอคอย การเข้าคิว การแบ่งปัน รู้จักการระมัดระวังตัวเอง เด็กๆจะได้เรียนรู้อะไรอีกมากมายค่ะ ความสนุกครั้งนี้ ฟรีค่ะไม่มีค่าใช้จ่าย  แถมสนุกกว่านั่งจดจ่ออยู่แต่หน้าจอเกม หรือ ทีวีเป็นไหนๆค่ะ

2. งานวัด แค่เด็กๆได้เห็นแสงสีของหลอดไฟยาวที่ห้อยระย้าลงมามากมาย ที่เป็นสัญลักษณ์ของงานวัด เด็กก็ยิ้มออกและเริ่มสนุกแล้วละค่ะ และคุณพ่อคุณแม่อย่างเรา อย่าลืมที่จะพาลูกๆไปไหว้พระ ตีระฆังใบเล็กๆรอบอุโบสถด้วยไม้เท้า ต่อจากนั้น ก็พาลูกไปรับน้ำมนต์อีกสักนิด ลูกๆฉันชอบใจมากๆที่พระท่านพรมน้ำมนต์ให้ เปียกนิดๆแต่ชุมฉ่ำไปถึงหัวใจ และคุณพ่อคุณแม่อย่างเราต้องบอกถึงความหมายของการทำสิ่งต่างๆเหล่านั้นด้วยนะคะ และเมื่อไปถึงงานวัดแล้ว กิจกรรมแสนสนุกไม่ว่าจะเป็นปาลูกโป่ง ยิงปืนกระสุนยาง สอยดาว ม้าหมุน  ตักปลา การละเล่นสนุกๆ ที่อาจได้ของติดไม้ติดมือกลับมาเป็นที่ระลึก เพียงครั้งละ20บาท  คุ้มค่ากับรอยยิ้มที่มาจากใจของลูกเรา

3. ตลาดนัดต่างๆก็สนุกนะคะ เดินดูของที่เขานำมาวางขายกัน ยิ่งถ้าเป็นตลาดนัดอาหาร ของทำมือ สัตว์เลี้ยง หรือ ต้นไม้ ตลาดนัดเหล่านี้จะสนุกมากๆเพราะว่าจะมีสิ่งต่างๆที่เด็กไม่ได้เห็นบ่อยนัก เช่น ตลาดนัดต้นไม้และสัตว์เลี้ยง เราสามารถแนะนำให้ลูกได้รู้จักต้นไม้แปลกๆ มากมาย และน่าจะลองให้เด็กเลือกต้นไม้เล็กๆที่ดูแลง่ายๆให้เขาได้ปลูก ได้ดูแลด้วยตัวเขาเองสักหนึ่งต้น   แค่นี้ เด็กๆ ก็มีกิจกรรมยามว่างที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้นมาอีก 1 อย่างแล้วล่ะค่ะ  และที่นี่ยังมีสัตว์ที่เด็กๆชอบมาวางขาย เช่น ลูกเป็ด ลูกไก่ ลูกห่านกระรอก กระต่าย หรือสัตว์แปลกๆแบบชูการ์ไกล์เดอร์ แต่เราไม่จำเป็นต้องซื้อให้เขาเลี้ยงนะคะ และบอกเหตุผลว่า “ การเลี้ยงสัตว์ต้องมีเวลาดูแล ไม่ใช่เลี้ยงเพื่อความสนุกสนาน เบื่อและทิ้ง ถ้าจะเลี้ยงต้องช่วยกันดูแล หนูจะช่วยพ่อและแม่ดูแลอะไรบ้าง ช่วยแม่ให้อาหาร ล้างกรงที่เลอะเทอะทำได้ไหม จะเลี้ยงสนุกและให้แม่เหนื่อยดูแลคนเดียว ไม่ได้นะ   สัตว์เลี้ยงของเรา  เราต้องช่วยกัน”

4. กินข้าวนอกบ้าน ไม่ต้องร้านหรู ราคาแพงหรอกนะคะ อย่างฉันจะเลือกไปร้านอาหารประจำที่ิครอบครัวฉันชอบกิน แต่ธรรมดาซื้อมากินที่บ้าน ฉันก็เปลี่ยนบรรยากาศด้วยการนั่งกินที่ร้านก็เท่านั้นเอง เด็กจะสนุกสนาน ได้บรรยากาศในการกินข้าว เพราะเห็นคนอื่นกินกันอย่างเอร็ดอร่อย จะทำให้เด็กๆ กินอาหารได้มากขึ้น และเด็กๆ ก็ได้เรียนรู้ในการเข้าสังคมร่วมรับประทานอาหารในร้านอาหารค่ะ

5. กิจกรรมงานประเพณีต่างๆ อย่าลืมพาลูกไปร่วมงานด้วยนะคะ กิจกรรมสุดโปรดของเด็ก คงไม่มีงานใดเกินสงกรานต์ ตอนลูกฉันยังเล็ก ฉันก็พานั่งรถออกไปดูว่าสงกรานต์ เขาเล่นกันอย่างไร แต่ยังไม่ให้เล่น เพราะมันอันตรายเกินไปสำหรับเด็ก แต่สัญญาว่าเมื่อโตขึ้นจะพาไปอย่างแน่นอน และเมื่อเขาโตพอประมาณ 5 ขวบ ฉันก็ไม่ผิดสัญญา พาลูกออกไปร่วมเล่น หาอุปกรณ์โดนใจอย่างปืนฉีดน้ำสัก1กระบอก แค่นี้ก็เพลินสุดๆแล้วละค่ะ หรือ อย่างงานบวช ถ้าคุณมีโอกาสได้ไปร่วมงาน ห้ามพลาดที่จะพาลูกไปอย่างเด็ดขาด ตอนแรก ลูกๆอาจจะเบื่อ เพราะคิดไปเองว่า วัดไม่มีอะไรน่าสนุก แต่พอเริ่มงาน ความสนุกคึกคักก็มาเยือน  เมื่อเริ่มมีการแห่นาค  ส่งเสียงร้องโห่ ฮี โห่ ฮี โห่ ฮิ้ว แค่นี้ ลูกๆฉันก็เริ่มสนุก  ยิ้มออกแล้วล่ะค่ะ  เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน เดิน 3 รอบ ดูคุณลุง คุณป้า คุณน้า คุณอา รำกันอย่างสนุกสนาน และเดิน 3 รอบไม่มีบ่นว่าเหนื่อยสักคำ และ ยิ่งสนุกสุดๆในช่วงที่นาคโปรยทาน เก็บเศษเงินที่ห่อกันอย่างประณีต ได้มาอย่างเต็มไม้เต็มมือ ถึงแม้ค่าของเงินที่จะได้ จะน้อยนิด แต่ค่าความภูมิใจที่ได้รับ  ยิ่งใหญ่กว่ามากค่ะ

อย่ารอช้าที่จะพาลูกของคุณออกไปเปิดหู เปิดตา เปิดโลกของเขาให้กว้าง  เงินทองไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้าเรารู้ว่าเราควรจะไปที่ไหน ที่เหมาะสมกับฐานะของเรา และดีต่อลูกของเรา การที่ลูกๆของเราได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับพ่อแม่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เด็กๆก็มีความสนุกทั้งนั้นแหละค่ะ เด็กไม่ชอบการถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียว ครอบครัวของฉันยึดหลัก ไปไหนไปกัน วันเวลาช่วงที่ลูกๆจะไปไหนมาไหนกับเราตลอด ก็คงไม่เกินอายุ15 หลังจากนั้น เขาก็จะมีโลกส่วนตัวของเขา เรามาใช้ช่วงเวลานี้ แสดงให้เขารับรู้ถึงความรักที่เรามีให้เขา เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีในจิตใจเขา ให้มั่นใจในความรักของพ่อแม่ ยามเกิดปัญหาใดๆ ไม่ว่าเขาอายุเท่าไร พ่อแม่อย่างเราก็จะได้เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญให้กับเขาได้เสมอ





วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

ทำอย่างไรให้แข็งแรงและฉลาด ????




ทำอย่างไรให้แข็งแรงและฉลาด ???? 
           
            คุณแม่ทุกคนย่อมต้องการที่จะให้ลูกฉลาดและแข็งแรงใช่มั้ยคะ  สังคมปัจจุบันเร่งรีบไปด้วยการแข่งขันกับเวลา ไหนจะต้องทำงานนอกบ้าน ไหนจะต้องทำงานบ้าน จนสิ่งที่อำนวยความสะดวกสำหรับคุณแม่ที่ต้องการบำรุงลูกน้อยในครรภ์ก็คือ การทานอาหารเสริม พยายามสรรหาอาหารเสริมราคาแพงมารับประทานเพื่อต้องการให้ลูกแข็งแรงและฉลาด  แต่สำหรับฉันโชคดีที่ได้รับคำแนะนำจากคุณหมอที่ดี มีจรรยาบรรณในการเป็นหมอสูง ไม่แนะนำให้รับประทานอาหารเสริม  เพราะอะไรเหรอคะ  ก็เพราะว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมราคาแพงเหล่านั้นไม่มีผลการวิจัยที่รับรองว่าปลอดภัยหรือไม่มีผลข้างเคียงสำหรับลูกน้อยที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์นะสิคะ   หากคุณแม่ท่านใดที่รับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมราคาแพงเหล่านั้นอยู่  ลองสังเกตุที่ข้างกล่องสักนิดนะคะ ว่าจะมีคำเตือนเขียนไว้ชัดเจนว่า  เด็กและสตรีมีครรภ์ห้ามรับประทาน  
            แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะลูกจึงจะฉลาดและแข็งแรง  มีหลักการดูแลตัวเองง่าย    ซึ่งฉันได้รับคำแนะนำจากคุณหมอที่ฝากครรภ์มาค่ะ  ลูกจะฉลาดและแข็งแรงขึ้นอยู่กับ
            1.อาหาร   อาหารที่คุณแม่รับประทานทุกอย่างมีผลกับการพัฒนาการในทุกด้านของทารก  ไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารราคาแพง  เน้นรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในทุกมื้อ และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์  งดชา กาแฟ  อาหารที่มีสารปรุงแต่งรสต่าง ๆ   โดยเฉพาะผงชูรส หากต้องการให้ลูกฉลาดจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหลีกเลี่ยงผงชูรส  เนื่องจากผงชูรสเป็นสารที่ทำลายการสร้างเซลล์สมองของทารก  เมื่อการพัฒนาการการสร้างเซลล์สมองมีความบกพร่อง ความฉลาดก็จะลดลงแทนที่จะได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์  ไม่ยากหรอกค่ะสำหรับคุณแม่ที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกน้อยที่คลอดออกมาแข็งแรงและฉลาด
            2. สุขภาพทางอารมณ์ของคุณแม่  คุณแม่ฟังเพลงบรรเลง ดนตรีเบา ๆ จะให้ดีฟังตอนเช้านะคะ เพราะตอนเช้าเป็นเวลาที่สมองของเด็กในครรภ์พร้อมที่จะรับรู้สิ่งที่มีกระทบได้ดีที่สุดค่ะ  การฟังเพลงทุกวันนอกจากจะทำให้เจ้าตัวน้อยอารมณ์ดีแล้วยังพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ทางสมองอีกด้วยนะคะ  คุณแม่ลองทำดูนะคะ หลังจากคลอดจะแล้วลองสังเกตุดูการพัฒนาการทางสมองของเจ้าตัวน้อยจะเห็นเลยว่า ช่วยได้จริง ๆ  อันนี้ขอ Confirm ค่ะ เพราะดิฉันทดลองทำทุกอย่างและเห็นผลจริง ๆ ค่ะ
            3. กรรมพันธ์  ข้อนี้สงสัยคงต้องเลือกกันเองนะคะ  พ่อแม่ที่เก่ง ลูกก็จะเก่งด้วย หรืออาจจะไม่เก่ง ขึ้นอยู่กับว่าลูกจะได้รับยีนส์เด่นหรือยีนส์ด้อยของพ่อแม่ค่ะ  แต่ก็ไม่เสมอไปนะคะว่าพ่อแม่เก่งแล้วลูกจะเก่งด้วย เพราะหากพ่อแม่เก่งแต่แม่ตั้งครรภ์ตอนอายุเกิน 35 ปีขึ้นไปแล้ว ความเสี่ยงที่ลูกจะได้รับผลตรงกันข้ามก็สูงขึ้นตามอายุของแม่นะคะ 
            4. บุญกรรมของผู้เป็นพ่อแม่ค่ะ   พูดไปคนสมัยใหม่ที่เชื่อวิทยาศาสตร์อาจจะไม่เชื่อใช่มั้ยคะ  แต่ดิฉันได้รับคำแนะนำจากหมอที่ดิฉันฝากครรภ์ค่ะ  ว่าข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญที่สุดในการกำหนดว่าเจ้าตัวน้อยที่ออกมาจะเป็นเช่นไร  ส่วนอื่นเป็นแค่ส่วนสนับสนุนที่เราสามารถกำหนดได้  เช่นเด็กจะเป็นผู้หญิง หรือชาย  หรือเพศที่ระบุไม่ได้ หรือครบ 32 ประการหรือไม่ หรือไม่ครบ  อันนี้สุดแท้แต่บุญกรรมที่พ่อแม่ร่วมกันทำมา  ข้อนี้สิ่งเดียวที่จะบรรเทาสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นมาได้คือ  สร้างบุญกุศลไว้เยอะ ๆ ค่ะ   คุณหมอก็ช่วยอะไรไม่ได้ค่ะ  โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีลูกตอนอายุเกิน 35 ปี  ซึ่งดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่มีลูกตอนอายุ 36 ค่ะ
            ตอนวัยรุ่นก็ใช้ชีวติแบบห่วงความโสดค่ะ  ยิ่งโลกปัจจุบันมีคนโสดและมีลูกตอนอายุมากเยอะมาก ๆ เลย  คิดเพียงว่าการแพทย์เดียวนี้พัฒนาก้าวหน้าไปไกลมีลูกตอนอายุเยอะก็ไม่น่าห่วง  แต่สิ่งที่ความก้าวหน้าพัฒนาการทางการแพทย์ช่วยไม่ได้คือ  ดาวน์ซินโดรม ค่ะ   ซึ่งปัจจุบันนี้จะเห็นว่ามีปริมาณของเด็กดาวน์ซินโดรม  หรือที่เรียกกันว่าเด็กพิเศษเพิ่มปริมาณขึ้นทุกวัน  ซึ่งทั้งนี้เป็นผลพวงมาจากความไม่รู้และไม่เข้าใจของผู้เป็นแม่ ประกอบกับความรู้เรื่องการตั้งครรภ์เมื่ออายุเกิน 35 ปีจะมีผลกระทบอะไรบ้างกับทารกยังถูกเผยแพร่อยู่ในวงแคบค่ะ ไม่มีใครช่วยเราได้หากมันเกิดขึ้นแต่เราป้องกันได้ โดยตัวเราเป็นผู้เลือกและกำหนดค่ะ   ครั้งหน้าจะนำความรู้เรื่อง ดาวน์ซินโดรม มาฝากนะคะ ซึ่งหาอ่านจากหนังสือไม่ได้ จะรู้ก็ต่อเมื่อคุณตั้งครรภ์ตอนอายุ 35 ปีขึ้นไปเท่านั้นค่ะ ซึ่งอาจจะสายเกินแก้ไปเสียแล้ว


                                                                                                            Written By  ตานตะวัน