วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559

นิทานกับเด็ก


นิทานกับเด็ก
นิทานหรือเรื่องเล่ามีมาแต่โบราณ ทุกประเทศ ทุกชนชาติต่างมีนิทานหรือเรื่องเล่าประจำชาติ หรือนิทานประจำท้องถิ่นที่แตกต่างกันไปตามแต่วัฒนธรรมของคนในชาตินั้นๆ  ทำไมต้องเล่านิทานให้ลูกฟัง ?  เชื่อว่ามีคุณพ่อคุณแม่บางส่วนที่มองว่าการเล่านิทานให้ลูกฟังเป็นเรื่องไร้สาระเพราะคิดว่านิทานคือเรื่องโกหก และพยายามสอนลูกให้อยู่กับความเป็นจริงมากกว่า ซึ่งความคิดอย่างนี้เป็นความคิดที่มีความเห็นแก่ตัวอย่างมาก เพราะการเรียนรู้ของเด็กเกิดขึ้นได้จากจินตนาการที่เด็กได้เห็น ได้ฟัง และได้คิดเติมแต่งตามจินตนาการอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจจะไม่เข้าใจว่าจินตนาการของเด็กนั้นกว้างใหญ่เพียงใด และการปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีทางความคิด  หรือการบ่มเพราะนิสัยที่ดีสำหรับเด็ก ก็ได้พื้นฐานคำสอนที่ดีมาจากนิทานนั่นเอง
นิทานนานาชาติเป็นนิทานที่รวบรวมเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนิสัย  การกินอยู่  ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมประเพณีของชนชาติต่างๆเอาไว้ เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับเด็กๆ ได้ศึกษาเรียนรู้ เปรียบเทียบเพื่อใช้เป็นเครื่องชี้นำการปฏิบัติของตัวเด็กเอง ผู้ใหญ่มักจะเล่านิทานให้เด็กๆได้ฟังนอกเหนือจากความสนุกเพลิดเพลินแล้วยังมุ่งหวังให้เด็กคิดและนำเอาข้อคิดดีๆจากในนิทานไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตัวของเด็กเอง และการที่เด็กชอบฟังนิทานก็เพราะเด็กต้องการความรัก  ต้องการเล่น ต้องการสิ่งวิเศษมหัศจรรย์ ความลึกลับ ความสวยงามนั่นเอง  แต่นิทานที่มีอย่างมากมายทุกวันนี้ ไม่เพียงแต่จะให้แค่ความบันเทิง สนุกสนานเพลิดเพลินเท่านั้น นิทานบางประเภทยังให้ความรู้ในเรื่องต่างๆที่เด็กจะต้องได้ใช้ได้รู้ในชีวิตประจำวันของเด็กเองด้วย
จุดประสงค์ของผู้แต่งนิทานคือต้องการให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว  บุคคลและสถานที่ต่างๆรอบตัวหรือที่เด็กควรรู้จัก สิ่งของๆ สัตว์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งตัวของเด็กและอวัยวะต่างๆของตัวเด็กนั่นเอง  ดังนั้นนิทานจึงมีอย่างมากมายหลากหลายเพื่อมุ่งสอนให้เด็กได้เรียนรู้อย่างทั่วถึงเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ 
จินตนาการของเด็กกับนิทานสัมพันธ์กันอย่างไร? เพราะโลกแห่งจินตนาการของเด็กนั้นกว้างใหญ่ไร้ขีดจำกัด เด็กสามารถมองเห็นตัวเองจากจินตนาการให้เป็นในแบบที่เด็กต้องการได้ และในบางครั้งเด็กสามารถทำในสิ่งที่ตัวเองจินตนาการไว้ให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นมาได้โดยที่ผู้ใหญ่อย่างเราก็คาดไม่ถึง ขอยกตัวอย่างเรื่องของประสบการณ์ที่ดิฉันได้เคยพบมาในขณะที่ยังเป็นครูผู้สอนเด็กปฐมวัยสักเรื่อง   ดิฉันได้แต่งนิทานขึ้นมาเรื่องหนึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กเรียนรู้และจดจำในเรื่องเกี่ยวกับ “จำนวนและตัวเลข” การแต่งนิทานเรื่องนี้ดิฉันไม่ได้ทำสื่ออะไรเพื่อให้เด็กดู พอแต่งเสร็จ ดิฉันก็ลองเล่าให้เด็กฟังและเขียนรูปภาพประกอบการเล่านิทานเท่านั้น ดิฉันเล่านิทานเรื่องนี้ให้เด็กฟังเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เต็ม อาทิตย์ต่อมา น้องเจมส์ลูกศิษย์ตัวน้อยก็มีโหลแก้วมาอวดดิฉัน ภายในโหลแก้วนั้นมีผีเสื้อปีกสวยอยู่ข้างในด้วยหนึ่งตัว  ประโยคแรกที่น้องเจมส์บอกกับดิฉันคือ “คุณครูครับ มันเหมือนกับนิทานของคุณครูเลยครับ”  ในความคิดของคนทั่วไปอาจจะมองว่า “ก็แค่ผีเสื้อตัวหนึ่ง” แต่สำหรับเด็ก มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ยิ่งนัก ที่สำคัญมันคือความสำเร็จจากจินตนาการของเขา  นิทานที่ดิฉันเพียรเล่าให้เด็กฟังมันเป็นเรื่องของจำนวนสัตว์ต่างๆตามตัวเลข  และในนิทานนั้นมีเจ้าหนอนกับผีเสื้ออยู่ด้วย  และความที่น้องเจมส์อยากจะรู้ว่าผีเสื้อมาจากหนอนเหมือนกับที่ดิฉันเล่าให้ฟังจริงหรือเปล่า  น้องเจมส์จึงไปขอให้คุณพ่อพาไปจับหนอนมาใส่โหลและให้ใบต้นรักเป็นอาหาร นับว่าน้องเจมส์โชคดีมากที่คุณพ่อคุณแม่สนับสนุนในเรื่องการเรียนรู้และคอยอธิบายเหตุผลทุกครั้งที่เจ้าหนอนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นผีเสื้อ น้องเจมส์จึงเอาผีเสื้อมาอวดฉันและเพื่อนๆในชั้นเรียนด้วยความภาคภูมิใจ นิทานของดิฉันไม่ได้สอนแค่เรื่องคณิตศาสตร์เท่านั้น แต่ยังสอดแทรกทั้งในเรื่อง วิทยาศาสตร์  สังคม  ศิลปะ ภาษา และที่ฉันภูมิใจมากก็คือเรื่องของคุณธรรมจริยธรรมที่สัมฤทธิ์ผล  เพราะหลังจากที่น้องเจมส์ได้แบ่งปันความรู้ให้กับเพื่อนๆแล้ว น้องเจมส์ก็นำเจ้าผีเสื้อตัวนั้นไปปล่อยเพื่อให้มันอยู่ตามธรรมชาติของมันน้องเจมส์บอกกับดิฉันว่า “เพราะที่นี่ไม่ใช่บ้านของผีเสื้อครับ” 
ยังมีนิทานอีกหลายๆเรื่องในทั่วทุกมุมโลกที่เด็กส่วนใหญ่ยังไม่ได้อ่าน ดังนั้นนิทานอมตะหรือนิทานยอดฮิตของแต่ละประเทศจึงถูกนำมาสร้างเป็นหนังหรือการ์ตูนเพื่อดึงดูดความสนใจของเด็กๆ  และเพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งจึงทำให้เด็กสามารถเข้าถึงนิทานของชาติต่างๆได้อย่างง่ายดายอีกทั้งสื่อที่มีทั้งภาพและเสียงก็ยังสามารถช่วยนำจินตนาการของเด็กเข้าไปสู่โลกนิทานได้เป็นอย่างดี คุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งรำคาญเวลาที่เด็กบอกว่าเขาคือตัวละครในนิทานเรื่องนั้นเรื่องนี้ นั่นเป็นเพราะเด็กกำลังจินตนาการในเรื่องที่เข้าได้ดูมาจากในนิทาน  คุณพ่อคุณแม่ควรช่วยเสริมในเรื่องของการเปรียบเทียบระหว่างการทำความดี และไม่ดีของตัวละครรวมทั้งผลที่ได้รับในแต่ละอย่างของตัวละครในนิทาน  เพื่อจะได้เป็นการปลูกฝังให้เด็กได้ใช้ความคิดเพื่อแยกแยะเหตุและผล  รวมทั้งปลูกฝังในเรื่องของคุณธรรมจริยธรรมให้กับเด็กอีกด้วย
ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ของเด็ก ก็มาจากนิทานเป็นหลักนั่นเอง หวังว่าคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่ค่อยมีเวลาให้กับลูกคงจะพอได้รับประโยชน์จากงานเขียนชิ้นนี้ สละเวลาเล่านิทานให้ลูกฟังสัก 20 นาทีเพื่อให้ลูกได้รับความอบอุ่นและการปลูกฝังที่ดี  ขอบคุณค่ะ
                                                                                                            รวีวรรณ  เกตุสุทธิ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น