ทำอย่างไรให้แข็งแรงและฉลาด ????
คุณแม่ทุกคนย่อมต้องการที่จะให้ลูกฉลาดและแข็งแรงใช่มั้ยคะ สังคมปัจจุบันเร่งรีบไปด้วยการแข่งขันกับเวลา
ไหนจะต้องทำงานนอกบ้าน ไหนจะต้องทำงานบ้าน
จนสิ่งที่อำนวยความสะดวกสำหรับคุณแม่ที่ต้องการบำรุงลูกน้อยในครรภ์ก็คือ การทานอาหารเสริม
พยายามสรรหาอาหารเสริมราคาแพงมารับประทานเพื่อต้องการให้ลูกแข็งแรงและฉลาด
แต่สำหรับฉันโชคดีที่ได้รับคำแนะนำจากคุณหมอที่ดี
มีจรรยาบรรณในการเป็นหมอสูง ไม่แนะนำให้รับประทานอาหารเสริม เพราะอะไรเหรอคะ
ก็เพราะว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมราคาแพงเหล่านั้นไม่มีผลการวิจัยที่รับรองว่าปลอดภัยหรือไม่มีผลข้างเคียงสำหรับลูกน้อยที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์นะสิคะ
หากคุณแม่ท่านใดที่รับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมราคาแพงเหล่านั้นอยู่ ลองสังเกตุที่ข้างกล่องสักนิดนะคะ
ว่าจะมีคำเตือนเขียนไว้ชัดเจนว่า
เด็กและสตรีมีครรภ์ห้ามรับประทาน
แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะลูกจึงจะฉลาดและแข็งแรง มีหลักการดูแลตัวเองง่าย ๆ
ซึ่งฉันได้รับคำแนะนำจากคุณหมอที่ฝากครรภ์มาค่ะ ลูกจะฉลาดและแข็งแรงขึ้นอยู่กับ
1.อาหาร
อาหารที่คุณแม่รับประทานทุกอย่างมีผลกับการพัฒนาการในทุกด้านของทารก ไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารราคาแพง เน้นรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในทุกมื้อ
และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ งดชา
กาแฟ อาหารที่มีสารปรุงแต่งรสต่าง ๆ โดยเฉพาะผงชูรส
หากต้องการให้ลูกฉลาดจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหลีกเลี่ยงผงชูรส เนื่องจากผงชูรสเป็นสารที่ทำลายการสร้างเซลล์สมองของทารก
เมื่อการพัฒนาการการสร้างเซลล์สมองมีความบกพร่อง
ความฉลาดก็จะลดลงแทนที่จะได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์
ไม่ยากหรอกค่ะสำหรับคุณแม่ที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกน้อยที่คลอดออกมาแข็งแรงและฉลาด
2. สุขภาพทางอารมณ์ของคุณแม่ คุณแม่ฟังเพลงบรรเลง ดนตรีเบา ๆ
จะให้ดีฟังตอนเช้านะคะ
เพราะตอนเช้าเป็นเวลาที่สมองของเด็กในครรภ์พร้อมที่จะรับรู้สิ่งที่มีกระทบได้ดีที่สุดค่ะ
การฟังเพลงทุกวันนอกจากจะทำให้เจ้าตัวน้อยอารมณ์ดีแล้วยังพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ทางสมองอีกด้วยนะคะ คุณแม่ลองทำดูนะคะ หลังจากคลอดจะแล้วลองสังเกตุดูการพัฒนาการทางสมองของเจ้าตัวน้อยจะเห็นเลยว่า
ช่วยได้จริง ๆ อันนี้ขอ Confirm ค่ะ
เพราะดิฉันทดลองทำทุกอย่างและเห็นผลจริง ๆ ค่ะ
3. กรรมพันธ์ ข้อนี้สงสัยคงต้องเลือกกันเองนะคะ พ่อแม่ที่เก่ง ลูกก็จะเก่งด้วย
หรืออาจจะไม่เก่ง ขึ้นอยู่กับว่าลูกจะได้รับยีนส์เด่นหรือยีนส์ด้อยของพ่อแม่ค่ะ แต่ก็ไม่เสมอไปนะคะว่าพ่อแม่เก่งแล้วลูกจะเก่งด้วย
เพราะหากพ่อแม่เก่งแต่แม่ตั้งครรภ์ตอนอายุเกิน 35 ปีขึ้นไปแล้ว
ความเสี่ยงที่ลูกจะได้รับผลตรงกันข้ามก็สูงขึ้นตามอายุของแม่นะคะ
4. บุญกรรมของผู้เป็นพ่อแม่ค่ะ พูดไปคนสมัยใหม่ที่เชื่อวิทยาศาสตร์อาจจะไม่เชื่อใช่มั้ยคะ
แต่ดิฉันได้รับคำแนะนำจากหมอที่ดิฉันฝากครรภ์ค่ะ
ว่าข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญที่สุดในการกำหนดว่าเจ้าตัวน้อยที่ออกมาจะเป็นเช่นไร
ส่วนอื่นเป็นแค่ส่วนสนับสนุนที่เราสามารถกำหนดได้ เช่นเด็กจะเป็นผู้หญิง หรือชาย หรือเพศที่ระบุไม่ได้ หรือครบ 32 ประการหรือไม่
หรือไม่ครบ
อันนี้สุดแท้แต่บุญกรรมที่พ่อแม่ร่วมกันทำมา
ข้อนี้สิ่งเดียวที่จะบรรเทาสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นมาได้คือ สร้างบุญกุศลไว้เยอะ ๆ ค่ะ คุณหมอก็ช่วยอะไรไม่ได้ค่ะ โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีลูกตอนอายุเกิน 35 ปี ซึ่งดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่มีลูกตอนอายุ 36
ค่ะ
ตอนวัยรุ่นก็ใช้ชีวติแบบห่วงความโสดค่ะ
ยิ่งโลกปัจจุบันมีคนโสดและมีลูกตอนอายุมากเยอะมาก ๆ เลย
คิดเพียงว่าการแพทย์เดียวนี้พัฒนาก้าวหน้าไปไกลมีลูกตอนอายุเยอะก็ไม่น่าห่วง แต่สิ่งที่ความก้าวหน้าพัฒนาการทางการแพทย์ช่วยไม่ได้คือ ดาวน์ซินโดรม ค่ะ ซึ่งปัจจุบันนี้จะเห็นว่ามีปริมาณของเด็กดาวน์ซินโดรม
หรือที่เรียกกันว่าเด็กพิเศษเพิ่มปริมาณขึ้นทุกวัน
ซึ่งทั้งนี้เป็นผลพวงมาจากความไม่รู้และไม่เข้าใจของผู้เป็นแม่
ประกอบกับความรู้เรื่องการตั้งครรภ์เมื่ออายุเกิน 35 ปีจะมีผลกระทบอะไรบ้างกับทารกยังถูกเผยแพร่อยู่ในวงแคบค่ะ
ไม่มีใครช่วยเราได้หากมันเกิดขึ้นแต่เราป้องกันได้
โดยตัวเราเป็นผู้เลือกและกำหนดค่ะ ครั้งหน้าจะนำความรู้เรื่อง ดาวน์ซินโดรม
มาฝากนะคะ ซึ่งหาอ่านจากหนังสือไม่ได้ จะรู้ก็ต่อเมื่อคุณตั้งครรภ์ตอนอายุ 35
ปีขึ้นไปเท่านั้นค่ะ ซึ่งอาจจะสายเกินแก้ไปเสียแล้ว
Written
By ตานตะวัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น