วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

ทำอย่างไรให้แข็งแรงและฉลาด ????




ทำอย่างไรให้แข็งแรงและฉลาด ???? 
           
            คุณแม่ทุกคนย่อมต้องการที่จะให้ลูกฉลาดและแข็งแรงใช่มั้ยคะ  สังคมปัจจุบันเร่งรีบไปด้วยการแข่งขันกับเวลา ไหนจะต้องทำงานนอกบ้าน ไหนจะต้องทำงานบ้าน จนสิ่งที่อำนวยความสะดวกสำหรับคุณแม่ที่ต้องการบำรุงลูกน้อยในครรภ์ก็คือ การทานอาหารเสริม พยายามสรรหาอาหารเสริมราคาแพงมารับประทานเพื่อต้องการให้ลูกแข็งแรงและฉลาด  แต่สำหรับฉันโชคดีที่ได้รับคำแนะนำจากคุณหมอที่ดี มีจรรยาบรรณในการเป็นหมอสูง ไม่แนะนำให้รับประทานอาหารเสริม  เพราะอะไรเหรอคะ  ก็เพราะว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมราคาแพงเหล่านั้นไม่มีผลการวิจัยที่รับรองว่าปลอดภัยหรือไม่มีผลข้างเคียงสำหรับลูกน้อยที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์นะสิคะ   หากคุณแม่ท่านใดที่รับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมราคาแพงเหล่านั้นอยู่  ลองสังเกตุที่ข้างกล่องสักนิดนะคะ ว่าจะมีคำเตือนเขียนไว้ชัดเจนว่า  เด็กและสตรีมีครรภ์ห้ามรับประทาน  
            แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะลูกจึงจะฉลาดและแข็งแรง  มีหลักการดูแลตัวเองง่าย    ซึ่งฉันได้รับคำแนะนำจากคุณหมอที่ฝากครรภ์มาค่ะ  ลูกจะฉลาดและแข็งแรงขึ้นอยู่กับ
            1.อาหาร   อาหารที่คุณแม่รับประทานทุกอย่างมีผลกับการพัฒนาการในทุกด้านของทารก  ไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารราคาแพง  เน้นรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในทุกมื้อ และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์  งดชา กาแฟ  อาหารที่มีสารปรุงแต่งรสต่าง ๆ   โดยเฉพาะผงชูรส หากต้องการให้ลูกฉลาดจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหลีกเลี่ยงผงชูรส  เนื่องจากผงชูรสเป็นสารที่ทำลายการสร้างเซลล์สมองของทารก  เมื่อการพัฒนาการการสร้างเซลล์สมองมีความบกพร่อง ความฉลาดก็จะลดลงแทนที่จะได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์  ไม่ยากหรอกค่ะสำหรับคุณแม่ที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกน้อยที่คลอดออกมาแข็งแรงและฉลาด
            2. สุขภาพทางอารมณ์ของคุณแม่  คุณแม่ฟังเพลงบรรเลง ดนตรีเบา ๆ จะให้ดีฟังตอนเช้านะคะ เพราะตอนเช้าเป็นเวลาที่สมองของเด็กในครรภ์พร้อมที่จะรับรู้สิ่งที่มีกระทบได้ดีที่สุดค่ะ  การฟังเพลงทุกวันนอกจากจะทำให้เจ้าตัวน้อยอารมณ์ดีแล้วยังพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ทางสมองอีกด้วยนะคะ  คุณแม่ลองทำดูนะคะ หลังจากคลอดจะแล้วลองสังเกตุดูการพัฒนาการทางสมองของเจ้าตัวน้อยจะเห็นเลยว่า ช่วยได้จริง ๆ  อันนี้ขอ Confirm ค่ะ เพราะดิฉันทดลองทำทุกอย่างและเห็นผลจริง ๆ ค่ะ
            3. กรรมพันธ์  ข้อนี้สงสัยคงต้องเลือกกันเองนะคะ  พ่อแม่ที่เก่ง ลูกก็จะเก่งด้วย หรืออาจจะไม่เก่ง ขึ้นอยู่กับว่าลูกจะได้รับยีนส์เด่นหรือยีนส์ด้อยของพ่อแม่ค่ะ  แต่ก็ไม่เสมอไปนะคะว่าพ่อแม่เก่งแล้วลูกจะเก่งด้วย เพราะหากพ่อแม่เก่งแต่แม่ตั้งครรภ์ตอนอายุเกิน 35 ปีขึ้นไปแล้ว ความเสี่ยงที่ลูกจะได้รับผลตรงกันข้ามก็สูงขึ้นตามอายุของแม่นะคะ 
            4. บุญกรรมของผู้เป็นพ่อแม่ค่ะ   พูดไปคนสมัยใหม่ที่เชื่อวิทยาศาสตร์อาจจะไม่เชื่อใช่มั้ยคะ  แต่ดิฉันได้รับคำแนะนำจากหมอที่ดิฉันฝากครรภ์ค่ะ  ว่าข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญที่สุดในการกำหนดว่าเจ้าตัวน้อยที่ออกมาจะเป็นเช่นไร  ส่วนอื่นเป็นแค่ส่วนสนับสนุนที่เราสามารถกำหนดได้  เช่นเด็กจะเป็นผู้หญิง หรือชาย  หรือเพศที่ระบุไม่ได้ หรือครบ 32 ประการหรือไม่ หรือไม่ครบ  อันนี้สุดแท้แต่บุญกรรมที่พ่อแม่ร่วมกันทำมา  ข้อนี้สิ่งเดียวที่จะบรรเทาสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นมาได้คือ  สร้างบุญกุศลไว้เยอะ ๆ ค่ะ   คุณหมอก็ช่วยอะไรไม่ได้ค่ะ  โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีลูกตอนอายุเกิน 35 ปี  ซึ่งดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่มีลูกตอนอายุ 36 ค่ะ
            ตอนวัยรุ่นก็ใช้ชีวติแบบห่วงความโสดค่ะ  ยิ่งโลกปัจจุบันมีคนโสดและมีลูกตอนอายุมากเยอะมาก ๆ เลย  คิดเพียงว่าการแพทย์เดียวนี้พัฒนาก้าวหน้าไปไกลมีลูกตอนอายุเยอะก็ไม่น่าห่วง  แต่สิ่งที่ความก้าวหน้าพัฒนาการทางการแพทย์ช่วยไม่ได้คือ  ดาวน์ซินโดรม ค่ะ   ซึ่งปัจจุบันนี้จะเห็นว่ามีปริมาณของเด็กดาวน์ซินโดรม  หรือที่เรียกกันว่าเด็กพิเศษเพิ่มปริมาณขึ้นทุกวัน  ซึ่งทั้งนี้เป็นผลพวงมาจากความไม่รู้และไม่เข้าใจของผู้เป็นแม่ ประกอบกับความรู้เรื่องการตั้งครรภ์เมื่ออายุเกิน 35 ปีจะมีผลกระทบอะไรบ้างกับทารกยังถูกเผยแพร่อยู่ในวงแคบค่ะ ไม่มีใครช่วยเราได้หากมันเกิดขึ้นแต่เราป้องกันได้ โดยตัวเราเป็นผู้เลือกและกำหนดค่ะ   ครั้งหน้าจะนำความรู้เรื่อง ดาวน์ซินโดรม มาฝากนะคะ ซึ่งหาอ่านจากหนังสือไม่ได้ จะรู้ก็ต่อเมื่อคุณตั้งครรภ์ตอนอายุ 35 ปีขึ้นไปเท่านั้นค่ะ ซึ่งอาจจะสายเกินแก้ไปเสียแล้ว


                                                                                                            Written By  ตานตะวัน
            




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น